ระบบเสียงประกาศในระดับ Enterprise จะมีการทำงานแบบอิสระทั้ง Input ( Microphone, Music, Event sound) และ Output (Speaker Zone) โดยผู้ใช้งานสามารถกำหนดและตั้งค่าการทำงานให้เสียงใดๆ ออกไปดัง ณ โซนใดๆ ได้อย่างอิสระ ณ เวลาเดียวกัน โดยไม่รบกวนกัน (Matrix Channel) การควบคุมการทำงานสามารถใช้งานได้โดยง่ายเพียงปลายนิ้วสัมผัส และระบบมีความยืดหยุ่นสูงสำหรับการขยายระบบได้โดยง่าย ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 แบบ ดังนี้
แบบที่ 1 ใช้สินค้าที่เป็น Worldwide ที่ออกแบบมาสำหรับงานระบบทั้ง System โดยเฉพาะ
ระบบดังกล่าวนี้จะเป็นการออกแบบระบบทั้งหมด หมายถึงตั้งแต่ไมโครโฟน , Sound Controller, Amplifier, Volume Control และ ลำโพงเป็นผลิตภัณฑ์เดียวกันทั้งระบบมีการทดสอบการใช้งานหรือทำงานร่วมกันมาจากโรงงานผู้ผลิตและมีสินค้าดังกล่าวขายไป ทั่วโลก โดยมี Website ให้บริการ Download ทั้ง Catalog, Manual, Firmware และคำปรึกษาในการใช้งานหรือแก้ปัญหาตลอดเวลา รวมทั้งในประเทศต่างๆ ก็จะมีสำนักงานของบริษัทผู้ผลิตตั้งอยู่พร้อมศูนย์บริการและตัวแทนจำหน่าย
โดยมีข้อดีในการใช้งาน ดังนี้
-
มีตัวแทนขายหลายรายสามารถให้บริการได้ถึงแม้ Supplier ที่ขายระบบไม่อยู่ผู้ใช้งานยังสามารถเรียกใช้บริการจากรายอื่นๆ ได้ ซึ่งจะมีประโยชน์มากในกรณีที่สินค้าดังกล่าวหมดประกันจากผู้รับเหมาไปแล้ว
-
มีเอกสารและวิชาการที่บ่งชี้ได้ว่าอุปกรณ์ทั้งระบบสามารถใช้งานร่วมกันได้เป็นสากล
-
สามารถตรวจสอบข้อเท็จจริงและคุณสมบัติได้จาก Website ของผู้ผลิตในการใช้งานร่วมกันเป็นระบบ
-
ระบบมีเถียรภาพที่สูงทำงานได้ตลอด 24/7 วัน โดยระบบเป็น Hardware ทั้งหมดสามารถใช้งานได้ง่ายแบบ Plug and Play
-
ราคาสินค้าโดยรวม/ ระบบ ไม่แพง
-
สามารถขยายระบบเพิ่มขึ้นได้โดยมี Function การทำงานสมบูรณ์เช่นเดิมทุกประการ
-
สามารถใช้งานได้ง่ายโดยผู้ใช้สามารถเลือกประกาศ, เลือกโซน, เลือก Music Source ใดๆ ให้ดังไปที่โซนใดๆ, ปรับเพิ่ม-ลดความดังเสียงในแต่ละโซน, Emergency โดยทั้งหมดนี้สามารถกดเลือกได้ที่ปุ่มที่ฐานของไมโครโฟนแต่ละตัวได้โดยตรง
-
สามารถต่อไมโครโฟนเพื่อตรวจสอบความดังเสียงของ Noiseในพื้นที่แล้วส่งกลับมายังเครื่องขยายเสียงเพื่อคำนวณความดัง เฉลี่ยนในพื้นที่จากนั้นเครื่องขยายเสียงสามารถที่จะเพิ่มกำลังขับเร่งความดังออกไปยังพื้นที่ดังกล่าวได้แบบอัตโนมัติได้
อย่างไรก็ดีระบบเสียงในแบบที่ 1 มีข้อเสียคือ กรณีสินค้าเสียต้องซ่อม จะมีการนำส่งเครื่องคืนยังศูนย์ซ่อมของผู้ผลิตซึ่งบางครั้งอาจต้องส่งต่างประเทศซึ่งอาจต้องใช้เวลา แต่ทางผู้บริการจะมีเครื่องสำรองให้ใช้ระหว่างซ่อมเสมอ
แบบที่ 2 ใช้สินค้าที่เป็นหลากหลายผลิตภัณฑ์มาใช้งานร่วมกันร่วมกันเฉพาะงาน
เป็นการออกแบบหรือคัดหาสินค้าจากหลากหลายผลิตภัณฑ์มาใช้งานร่วมกัน โดยอ้างอิงการทำงานให้ใกล้เคียงตามแบบที่ 1 โดยผู้จัดหาเฉพาะเพียงรายเดียว ทั้งนี้อุปกรณ์ที่ประกอบกันเป็นระบบจะมาจากหลากหลายผลิตภัณฑ์หรือทำขึ้นเอง (ขึ้นอยู่กับการจัดหาของผู้จัดหารายนั้นๆ ในแต่ละโครงการ) ซึ่งไมโครโฟน Sound Controller, Amplifier, Volume Control, Speaker โดยส่วนใหญ่จะเป็นคนละยี่ห้อกัน และมีการนำเครื่องคอมพิวเตอร์มาต่อใช้งานร่วมกับ Sound Controller แทนการกดปุ่มเลือก โซนที่ไมโครโฟน (ใช้ Software ที่เขียนขึ้นมาเฉพาะโครงการแทน Hardware)
ซึ่งระบบดังกล่าวนี้จะพยายามในการสร้างระบบให้ใกล้เคียงการทำงานของแบบที่ 1 แต่อย่างไรก็ดีระบบ จะมีข้อเสีย ดังนี้
-
สินค้าที่ประกอบกันขึ้นมาจากหลากหลายผลิตภัณฑ์ไม่มี Supplier โดยตรงของแต่ละผลิตภัณฑ์นั้นๆ ให้คำปรึกษาในการใช้งานหรือกรณีมีปัญหาได้ ต้องสอบถามจากผู้ขายระบบเพียงผู้เดียวเท่านั้น
-
ไม่มีมีเอกสารและวิชาการที่บ่งชี้ได้ว่าอุปกรณ์ทั้งระบบสามารถใช้งานร่วมกันได้เป็นสากล มีเพียงการยืนยันจากผู้ขายเท่านั้น
-
ไม่สามารถสามารถตรวจสอบข้อเท็จจริงและคุณสมบัติได้จาก Website ของผู้ผลิตในการใช้งานร่วมกันเป็นระบบ
-
ระบบไม่มีเถียรภาพในการทำงานโดยระบบเป็น Hardware+ Software และอาศัยเครื่องคอมพิวเตอร์ช่วยในการทำงาน ไม่เหมาะกับการเปิดใช้งานตลอดเวลา และมีโอกาศที่เครื่องจะติด Virus สูง
-
ราคาสินค้าโดยรวม/ ระบบ แพงเพราะเป็นระบบเฉพาะที่รวมกันขึ้นเฉพาะโครงการ
-
สามารถขยายระบบเพิ่มขึ้นได้แต่มีข้แจำกัดรวมทั้งโดยมี Function การทำงานจะไม่สมบูรณ์เช่นเดิมทุกประการ
-
การใช้งานคำสั่งไมโครโฟนต้องอาศัยการเลือกคำสั่งจากหน้าจอ Computer ช่วย
-
ไม่สามารถต่อไมโครโฟนเพื่อตรวจสอบความดังเสียงของ Noiseในพื้นที่แล้วส่งกลับมายังเครื่องขยายเสียงเพื่อคำนวณความดังเฉลี่ยนในพื้นที่จากนั้นเครื่องขยายเสียงสามารถที่จะเพิ่มกำลังขับเร่งความดังออกไปยังพื้นที่ดังกล่าวได้แบบอัตโนมัติได้
อย่างไรก็ดีระบบที่ 2 นี้จะมีข้อดีคือสามารถสร้างคำสั่งหรือเขียน Program ตามความต้องการของผู้ซื้อได้ (กรณีผู้ซื้อมีความต้องการ Function พิเศษที่สากลไม่ใช้)
|